วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562

                   บริษัทในไทยที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุด      บริษัท     Singha : สิงห์

สวัสดีครับนำทุกท่านมารู้จักบริษัทที่คนชอบมากที่นั่นเป็นบริษัทที่มีรายได้สูง      เหมาะสำหรับคนที่ิ

มองหาบริษัทที่ดีเเละมีคุณภาพ  สำหรับใครที่ไม่รู้จับเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัททั้ง   50 บริษัท


ที่มาตรฐาน




                                            




บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เป็นบริษัทในเครือที่สำคัญของ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดยก่อตั้งขึ้น เพื่อดูแลธุรกิจเครื่องดื่มของ บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และรับผิดชอบในการบริหารและทำการตลาดของ ผลิตภัณฑ์ เบียร์ โซดา น้ำดื่ม  น้ำแร่ธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ข้าวสารบรรจุถุง และสาหร่ายทะเลทอดกรอบ ภายใต้เครื่องหมายการค้า สิงห์, ลีโอ, เพอร์ร่า, บุญรอดฟาร์ม, พันดี และ มาชิตะ
บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ดำเนินการบริหารโรงเบียร์ 3 แห่ง และโรงงานผลิตโซดาและน้ำดื่มรวม 9 แห่ง ในจุดสำคัญต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค พร้อมทั้งพัฒนาความรู้ ความสามารถของผู้แทนจำหน่ายด้านการให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด รวมถึงตอบสนองผู้บริโภคให้ได้อย่างทั่วถึง โดยมีเครือข่ายเอเย่นต์จำนวน 300 รายจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั่วราชอาณาจักร และมีตัวแทนจำหน่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลกและด้วยเกียรติบัตร ISO9001:2008 รับรองมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพ ระบบการจัดการ ความปลอดภัยของอาหาร ISO 22000: 2005 GMP & HACCP และรางวัลเหรียญทองจากประเทศต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกมั่นใจในคุณภาพสินค้าของบริษัท ฯ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยควบคู่ไปกับการเติบโตของบริษัทฯ โดยการส่งเสริมให้มีการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ประกอบกิจกรรมทาง สังคมที่เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมไทยเป็นหลัก รวมถึงการ สนับสนุนทางด้านการศึกษาและกีฬาทุกประเภท เพื่อเป็นการตอบแทนสังคมที่ สนับสนุนผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ด้วยดีมาตลอด

สวัสดิการและผลประโยชน์

การดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของพนักงานเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พนักงานของเรามีรักให้กับองค์กร


 เราดูแลใส่ใจพนักงานเหมือนคนในครอบครัว เรามีสวัสดิการที่ดูแลพนักงานและคนในครอบครัวพนักงานเพื่อให้พนักงานมีความอุ่นใจและความสุขในการทำงาน

  • เวลาทำงานวันละ 7 ชั่วโมงเราเห็นความสมดุลของเวลาทำงาน และเวลาส่วนตัวของพนักงานจึงกำหนดให้พนักงานปฏิบัติงานเพียง วันละ 7 ชั่วโมง
  • Provident Fund (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เพื่อให้พนักงานได้มีเงินสะสมเมื่อออกจากงานหรือเมื่อเกษียณอายุงาน โดยบริษัทสมทบเงินให้กับพนักงาน 5% นับตั้งแต่วันแรกที่ผ่านทดลองงาน และสูงสุดเป็น 10% ตามอายุงานที่อยู่กับบริษัทฯ
  • วันหยุดพักผ่อนประจำปี (พักร้อน) พนักงานสามารถสะสมวันหยุดได้ 1 เท่าของจำนวนวันหยุดที่


  • พนักงานได้รับ
  • การตรวจสุขภาพประจำปี
  • เงินเบิกล่วงหน้ากรณีฉุกเฉิน (IOU)
  • ทุนการศึกษาบุตร
  • ทุนการศึกษาปริญญาโท
  • เงินช่วยเหลือกรณีพนักงานเสียชีวิต
  • เงินช่วยเหลือกรณีครอบครัวพนักงานเสียชีวิต
  • เงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว
  • ชุดยูนิฟอร์ม
  • New Year Gift
  • งานวันครอบครัวสิงห์

ผลิตภัณท์เครื่องดื่ม













เครื่องดื่มเเอลกอฮอล์








ที่มา   http://boonrawd.agelusinteractive.com/singha-corporation/th/singha-food-and-beverage.php







                    บริษัทในไทยที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุด     บริษัท     Ch3 : ช่อง 3

สวัสดีครับนำทุกท่านมารู้จักบริษัทที่คนชอบมากที่นั่นเป็นบริษัทที่มีรายได้สูง      เหมาะสำหรับคนที่ิ

มองหาบริษัทที่ดีเเละมีคุณภาพ  สำหรับใครที่ไม่รู้จับเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัททั้ง   50 บริษัท

ที่มาตรฐาน

                                        à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ Ch3 : ช่อง 3









วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

       บริษัทในไทยที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุด   บริษัท   Honda : ฮอนด้า  ประเทศไทย   จำกัด


สวัสดีครับนำทุกท่านมารู้จักบริษัทที่คนชอบมากที่นั่นเป็นบริษัทที่มีรายได้สูง      เหมาะสำหรับคนที่ิ

มองหาบริษัทที่ดีเเละมีคุณภาพ  สำหรับใครที่ไม่รู้จับเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัททั้ง   50 บริษัท

ที่มีมาตรฐาน




                               à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ Honda : ฮอนด้า







ฮอนด้า ได้เริ่มเข้ามาสร้างชื่อในเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 เริ่มจากการจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ 
และเครื่องยนต์อเนกประสงค์นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น แต่ความฝันที่จะเป็นผู้นำด้าน “ยนตรกรรมที่เป็น
มิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ทำให้ฮอนด้าไม่หยุดอยู่เพียงแค่รถจักรยานยนต์เท่านั้น จึงสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้
ครอบคลุมการให้บริการลูกค้าอย่างทั่วถึงสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความนิยมที่
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค

                              
 บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมงานมหกรรมยานยนต์เพื่อขายแห่งชาติ หรือ BIG Motor Sale 2019 (Bangkok International Grand Motor Sale 2019) รถยนต์รุ่นไฮไลท์ที่นำมาจัดแสดงนำโดย ที่สุดแห่งยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียม ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ ทั้งรุ่นไฮบริด และรุ่น TURBO EL ที่ได้รับรางวัลชื่นชมคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ ดีเด่น ยอดเยี่ยม ประจำปี 2018-2019 (BIG Best Car of the Year 2018-2019) ด้วยรางวัล Mid-size Sedan ดีเด่น ยอดเยี่ยม พร้อมยนตรกรรมฮอนด้ารุ่นอื่นๆ รวมทั้งหมด 9 รุ่น ชูแคมเปญพิเศษแห่งปี "Honda Surprise ให้ลุ้นทองเป็นล้าน" พร้อมด้วยข้อเสนอพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย  
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด 

เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2526 ซึ่งนับเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยรายหลังๆ โดยมีอายุเพียงสามทศวรรษ ปัจจุบันฮอนด้านับเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์นั่ง รายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีการเติบโตของยอดจำหน่ายที่รวดเร็วโดยยอดจำหน่ายตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปี  พ.ศ. 2549  รวมกว่า 640,000 คัน

ด้วยความมุ่งมั่นในการให้ความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันมีผู้จำหน่ายรวม 123 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศแทบทุกจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมการให้ บริการลูกค้าอย่างทั่วถึงสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความนิยมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค
นอกเหนือจากการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ ฮอนด้ายังเห็นความสำคัญในการใช้เป็นฐานในการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกไปยังประเทศ ต่างๆ ในแถบภูมิภาคนี้ อันเป็นการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกทั้งในรูปรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วน 50,226 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2549

ปัจจุบัน ผลิตรถยนต์ฮอนด้าทั้งหมด 15 รุ่น ได้แก่ ฮอนด้า บริโอฮอนด้า บริโอ อเมซ,ฮอนด้า 
แจ๊ส,ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด,ฮอนด้า ซิตี้ฮอนด้า ซิตี้ CNGฮอนด้า ซีวิค ,ฮอนด้า ซีวิค ไฮ
บริด,ฮอนด้า แอคคอร์ด ,ฮอนด้า ซีอาร์-วี ,ฮอนด้า ฟรีด ,ฮอนด้า สเตปแวกอน ,ฮอนด้า โมบิลิ
โอ,ฮอนด้า โอดิสซีย์และฮอนด้า เอชอาร์-วี สำหรับจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยัง 65
 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ฮอนด้ายังได้ลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่มูลค่า 17,150
 ล้านบาทในจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมคาดว่าจะเปิดสายการผลิตในปี 2558 


ศูนย์ฮอนด้าที่ดีได้มาตรฐาน



HONDA พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า


ศูนย์ฮอนด้า



พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า ได้เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า อย่างเป็นทางการจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่นี่ได้ส่งมอบรถยนต์ฮอนด้า และให้บริการด้วยใจแก่ลูกค้ามากกว่า 45,000 ราย โดยพนักงานทุกคนได้ยึด หลักการทำงานที่สร้างรอยยิ้มให้แก่ลูกค้า 3 ข้อ คือ การยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สร้างสรรค์ความสุขในการทำงาน และมีความความยินดีที่จะ ให้บริการ
ทุกวันนี้ทุกรอยยิ้มของลูกค้าคือความสำเร็จของทุกคน ที่นี่เติบโตก้าวแรกด้วยความสุขและความมุ่งมั่น มีพลังแห่งความฝันทำให้กล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง และพลังแห่งความสุขทำให้สามารถสรรสร้างงานบริการด้วยหัวใจและจริงใจ
ปัจจุบันที่ พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า เน้นการทำงานเป็นทีม พนักงานกว่า 700 ชีวิตคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ที่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาการทำงาน เพิ่มศักยภาพอย่างต่อเนื่อง และสร้างความสุขในการทำงานให้คงอยู่ไว้ตลอดไป
ที่นี่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าในการให้บริการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าทุกคนเกิดความพึงพอใจสูงสุด และในฐานะตัวแทนของทุกคน
พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า สัญญาว่า อนาคต จะมุ่งเน้นการปฏิบัติตามมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่มีรอยยิ้ม และสิ่งแวดล้อมในน่าอยู่ ด้วยนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยีอันทันสมัย และการรักษาไว้ซึ่งการส่งมอบบริการด้วยใจและคุณค่า ที่ดีที่สุดตลอดไป

บริษัท ซัมมิทฮอนด้าออโตโมบิล จำกัด  (พัฒนาการฮอนด้าออโตโมบิล)


ศูนย์ฮอนด้า


จากบริษัท ย่อยของ บริษัท มาสเตอร์กรุ๊ปคอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าจาก บริษัท ฮอนด้าออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ในปี 2555 และตั้งแต่ปีพ. ศ. 2555 สำนักงานใหญ่ก็เกิดที่พัฒนาการ 30 โดยที่นี่พยายามทุ่มเทให้กับการให้บริการลูกค้าอย่างทั่วถึง จึงได้เพิ่มสาขาใหม่อีก 3 สาขาในปี 2558 ได้แก่ สาขาหัวหมากถนนรามคำแหงสาขาอุดมสุขถนนศรีนครินทร์และสาขาบางนาบนถนนสุขุมวิท
ที่นี่มีบริการเต็มรูปแบบทั้งด้านการขายและการบริการตามมาตรฐาน ในการบำรุงรักษาศูนย์การซ่อมแซมและทาสีของศูนย์ ตามมาตรฐานฮอนด้าและบริการที่จะซื้อขายขายรถมือสองที่มีคุณภาพดีภายใต้ Honda Certified Used Car
ในด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท พัฒนาการฮอนด้าออโตโมบิลมุ่งมั่นที่จะรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในปี พ.ศ. 2557 ส่งผลให้ บริษัท ฯ ได้รับการรับรองระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (ISO 14001: 2004)
ที่นี่มีหลักการที่จะทำงานร่วมกันเป็นทีม และมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันเพื่อพัฒนาระดับการให้บริการที่เกินมาตรฐาน เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่รวดเร็วที่สุด และตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราให้ความสนใจกับการบริการลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด
ด้านการขาย
ที่พัฒนาการฮอนด้าคุณจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ทีมงานขายที่มีประสบการณ์และได้รับการฝึกฝนทักษะและความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานฮอนด้าคาร์ดมาสเตอร์ออโต้โมทีฟรีเทล จำกัด (MAT) และ บริษัท ฮอนด้าออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้ทุกคนในทีมสามารถให้ข้อมูลและ รายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ฮอนด้า ด้วยการนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายเพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือก Honda Cars เพื่อตอบสนองความต้องการได้มากที่สุด
 ด้านบริการ
ศูนย์บริการของที่นี่มีมาตรฐานแบบเปิดแบบครบวงจร ทั้งการบำรุงรักษาทั่วไปและการซ่อมแซมตัวถังและสี ที่นี่ดูแลรถด้วยความระมัดระวังและใส่ใจทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า โดยมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้ความสามารถของพนักงานโดยการฝึกอบรมจาก บริษัท มาสเตอร์ออโต้โมทีฟรีเทล จำกัด (MAT) และ บริษัท ฮอนด้าออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยังมีการติดตั้งเครื่องใช้ที่ทันสมัย ดูแลรถของคุณพร้อมกับเลานจ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาหารว่างและเครื่องดื่มนานาชนิดรวมถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ดังนั้นคุณจะได้รับความพึงพอใจสูงสุดเมื่อนำรถเข้ารับบริการ
ฮอนด้าได้รับการรับรองรถยนต์มือสอง
ที่นี่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการด้านการค้ารถยนต์และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าที่ใช้เพื่อรองรับความต้องการรถยนต์ฮอนด้าใช้มาตรฐาน ราคาสมเหตุสมผลพร้อมการรับประกันเป็นเวลา 1 ปีหรือ 20,000 กิโลเมตรภายใต้การดูแลของทีมที่ผ่านการฝึกอบรม ทักษะในการปฏิบัติตามมาตรฐานของ บริษัท บริษัท ฮอนด้าออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมให้บริการคุณแล้ว

ที่มาของเเหล่งข้อมูล   https://topbestbrand.com/ฮอนด้า/#united-honda
               บริษัทในไทยที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุด   บริษัท    Siam Piwat : สยามพิวรรธน์


สวัสดีครับนำทุกท่านมารู้จักบริษัทที่คนชอบมากที่นั่นเป็นบริษัทที่มีรายได้สูง      เหมาะสำหรับคนที่ิ

มองหาบริษัทที่ดีเเละมีคุณภาพ  สำหรับใครที่ไม่รู้จับเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัททั้ง   50 บริษัท

ที่มีมาตรฐาน








                                          




สยามพิวรรธน์ เป็นบริษัทธุรกิจค้าปลีกและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ปัจจุบันเป็นเจ้าของและบริหารกิจการศูนย์การค้าชั้นนำมากมาย เช่น สยามพารากอน และ ไอคอนสยาม โดยหนึ่งในปัจจัยสู่ความสำเร็จคือ “ความร่วมมือ” ซึ่งสยามพิวรรธน์ได้ร่วมกับหลายบริษัททั้งในและนอกประเทศ เพื่อพัฒนาธุรกิจห้างสรรพสินค้า เช่น ความร่วมมือกับ Takashimaya ห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นที่มีประวัติยาวนานกว่า 189 ปี นำมาสู่การเปิดสาขาห้างสรรพสินค้า Takashimaya สาขาแรกในประเทศไทย พร้อมด้วยสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นชั้นนำกว่า 180 แบรนด์ ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 80 แบรนด์ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
บริษัทมุ่งเน้นเป็นตัวกลางนำความรู้ในด้านต่าง ๆ มาต่อยอดเพื่อส่งเสริม สนับสนุน สร้างโอกาสให้คนไทยได้แสดงศักยภาพและความสามารถ เช่น โครงการ “ต้นแบบเครือข่ายกรุงเทพฯ สีเขียว” ที่ร่วมมือกับสำนักงานสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นที่การยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับสังคมผ่านการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและใช้หลัก 3R ในการจัดการกับพื้นที่ภายในอาคารต่าง ๆ ภายใต้การดูแลของบริษัท


“สยามพิวรรธน์” แค่ศูนย์การค้ามันเล็กไป ต้องเล่นใหญ่เป็นโครงการเมือง!
สยามพิวรรธน์ เปิดแผนลงทุน 5 ปี ควักกระเป๋า 70,000 ล้าน ลงทุนโปรเจ็คต์ยักษ์ เมินศูนย์การค้าเล็กๆ โฟกัสแต่โครงการใหญ่ๆ ระดับโครงการเมือง มอง ICONSIAM เป็นโมเดลหลัก

ICONSIAM โมเดล จะเล่นเล็กไม่ได้อีกต่อไป
หลังจากที่เปิดตัวบิ๊กโปรเจ็คต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่างผ( ICONSIAM) ไปเมื่อปลายปีก่อน ดูเหมือน “สยามพิวรรธน์” เจ้าของโครงการดูจะติดใจกับการพัฒนาโครงการใหญ่เข้าแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้สยามพิวรรธน์มี 4 โครงการในเครือ ได้แก่ สยามพารากอน, สยามดิสคัฟเวอรี่, สยามเซ็นเตอร์ และ ICONSIAM

ICONSIAM เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาในตลาดค้าปลีกในไทยช่วงปีที่ผ่านมาได้อย่างดี ค้าปลีกยุคใหม่ไม่ได้มีแค่ศูนย์การค้า แต่ต้องเป็นโครงการมิกซ์ยูสรวมที่อยู่อาศัย โรงแรม อาคารสำนักงาน

ซึ่งสยามพิวรรธน์เรียกโมเดลนี้ว่าเป็น “โครงการเมือง” ที่ไปสร้างศูนย์การค้าพร้อมกับสร้างเมืองที่นั่น ทำให้แผนในการลงทุนต่อไปของสยามพิวรรธน์จะไม่ใช่แค่สร้างศูนย์การค้าให้คนมาเช่าพื้นที่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะสร้างเป็นโครงการใหญ่ที่เป็นโครงการเมืองทั้งหมด ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นขนาด



                               

โดยในปีนี้ สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจค้าปลีกให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ การร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกชั้นนำจากต่างประเทศเพื่อเปิดตัวแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์อีก 2 แบรนด์

แผน 5 ปี รายได้ต้องโตหนึ่งเท่าตัว

ปัจจุบันสยามพิวรรธน์มีทรัพย์สินรวม 45,000 ล้านบาท มีรายได้ในปี 2561 รวม 25,500 ล้านบาท เติบโต 23% ตั้งเป้าปีนี้เติบโต 12-15% แต่ในส่วนของ ICONSIAM ตั้งเป้าโต 42%
ชฎาทิพมองว่าหลังจากปีนี้ที่ ICONSIAM ได้เปิดตัวให้บริการเต็มปี รับรู้รายได้ได้เต็มปี ทำให้มีรายได้ที่เติบโตขึ้น ใน 5 ปีตั้งเป้ารายได้ต้องเติบโต 1-1.5 เท่า

                               


สำหรับทราฟิกการใช้บริการของ 3 ศูนย์การค้า สยามพารากอนสยามดิฟคัฟเวอรี่ และสยามเซ็นเตอร์รวม200,000-250,000 คน/วัน ส่วนใหญ่เป็นคนไทย 65-70%
ส่วน ICONSIAM มีทราฟิกเป็นไปตามเป้าหมายที่ 120,000-150,000 คน/วัน 80% เป็นคนไทย

สรุป

การที่สยามพิวรรธน์เบนเข็มมาทำแต่โครการใหญ่ๆ เพราะมองเห็นโมเดลความสำเร็จจากการเปิดตัว ICONSIAM ว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี แต่ก็ต้องดูต่อไปว่าคนไทยจะตอบรับกับโครงการแบบนี้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งเน้นทำเลในกรุงเทพที่มีศูนย์การค้าล้นเมืองแล้ว สยามพิวรรธน์จะต้องใช้กลยุทธ์อะไรในการสร้างความแตกต่าง
ธุระกิจค้าปลีก
  • บริษัท ดิสคัฟเวอรี่ รีเทล จำกัด - จัดจำหน่ายสินค้าในโซนโอเพนสเปซ (ดิสคัฟเวอรีแล็บ) ภายใน สยามดิสคัฟเวอรี
  • บริษัท สยามพารากอน รีเทล จำกัด - บริษัทร่วมทุนกับกลุ่มเดอะมอลล์ เพื่อดำเนินการ “พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์” ในสยามพารากอน
  • บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (ชื่อเดิม บริษัท สยาม สเปเชีลลิตี้ จำกัด) - จัดจำหน่ายสินค้าในรูปแบบต่างๆ ได้แก่
    • ลอฟท์
    • เดอะ วันเดอร์ รูม
    • เดอะ ซีเล็คเต็ด
    • จิน แอนด์ มิลค์
    • ออฟเจกต์ ออฟ ดีไซร์ สโตร์ (โอดีเอส)
    • แคช
    • เพอร์-สูท
    • อาแลง


สวัสดิการ


  • - โบนัส และปรับเงินเดือนประจำปี
  • - ประกันสังคม
  • - ประกันสุขภาพ
  • - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • - ตรวจสุขภาพประจำปี กับโรงพยาบาลชั้นนำ
  • - โครงการสวัสดิการสะสมทรัพย์เพื่อเกษียณอายุ แบบสมัครใจ กับ AIA
  • - โครงการประกันอุบัติเหตุ
  • - ชุดฟอร์มพนักงาน 3 ชุด/ปี (เฉพาะบางตำแหน่งงาน)
  • - คูปองอาหาร สำหรับวันทำงานพิเศษ
  • - โครงการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย
  • - เงินกู้ยืมต่างๆ
  • - เงินช่วยเหลือกรณีพนักงาน และครอบครัวพนักงานเสียชีวิต
  • - วันหยุดตามประเพณี และวันหยุดพักผ่อนประจำปี
  • - บ้านพักสวัสดิการ(เฉพาะบางตำแหน่งงาน)
  • - ที่จอดรถฟรี สำหรับพนักงาน(ระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป)
  • - บัตรส่วนลดในการซื้อสินค้า สำหรับพนักงาน 20%(เฉพาะบางตำแหน่งงาน)
  • รางวัลอายุยาวนาน และรางวัลเบี้ยขยัน



ที่มาของข้อมูล     https://brandinside.asia/siam-piwat-road-map-big-project/

                  บริษัทในไทยที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุด      บริษัท    Unilever : ยูนิลีเวอร์



สวัสดีครับนำทุกท่านมารู้จักบริษัทที่คนชอบมากที่นั่นเป็นบริษัทที่มีรายได้สูง      เหมาะสำหรับคนที่ิ

มองหาบริษัทที่ดีเเละมีคุณภาพ  สำหรับใครที่ไม่รู้จับเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัททั้ง   50 บริษัท

ที่มีมาตรฐาน


                                             


บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นด้านรสชาติหรือคุณภาพของอาหาร การรักษาความสะอาดในครัวเรือน เสื้อผ้าและร่างกาย โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้า “ยอดนิยม” ของคนไทยมากมาย
สำหรับพนักงาน Unilever จะได้รับสวัสดิการที่นอกเหนือจากเงินเดือนประจำแล้ว ยังมี เบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัด ค่าทำฟัน 4,000 บาท ต่อปี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ค่ารักษาพยาบาล (ครอบคลุมถึงคู่สมรสและบุตร) สิทธิในการกู้บ้าน กู้เงินฉุกเฉิน ทุนการศึกษาปริญญาโท วันหยุดลาพักร้อน 12 วัน และ กิจกรรมพิเศษประจำปี

Unilever เป็นบริษัทที่กำหนดวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนมาตั้งแต่ต้น ปัจจุบันวัตถุประสงค์ของเราเรียบง่ายแต่ชัดเจนคือ การทำให้ลูกค้ามีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน



เราเชื่อว่าการเติบโตของธุรกิจไม่ควรทำร้ายผู้คนและโลกของเรา ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจและวิธีการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ Unilever (USLP) เป็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อบรรลุผลจากการเปลี่ยนแปลงภายในบริษัท เปิดตัวในปี 2010 โดยเป็นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านแบรนด์ที่กำหนดวัตถุประสงค์ ลดต้นทุนทางธุรกิจ ลดความเสี่ยง และช่วยให้เราสร้างความไว้วางใจ

           แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ Unilever
แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ Unilever กำหนดขึ้นเพื่อแยกการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทออกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในขณะที่เพิ่มผลกระทบเชิงบวกทางสังคมของเรา แผนของเรามีเป้าหมายสำคัญสามประการที่ต้องบรรลุ ซึ่งอยู่ภายใต้ ความมุ่งมั่นและเป้าหมายเก้าประการซึ่งครอบคลุมประสิทธิภาพด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจในห่วงโซ่คุณค่า เราจะทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งเน้นพื้นที่ที่เราสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG)

                             การเติบโตเพิ่มขึ้น


จากการวิจัยของเราแสดงว่ากว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคทั้งหมดได้ซื้อสินค้า หรือต้องการซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืน นี่คือสาเหตุที่เราพัฒนาแบรนด์ ‘ที่ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน’ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนต่อข้อกังวลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของแผน USLP
ขณะนี้เรามี 26 แบรนด์ที่ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนประกอบด้วย Dove, Lipton, Hellmann's และ Seventh Generation โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของ Unilever ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อ
                                                     Shopping trolly

                                       ลดต้นทุน


ลดปริมาณของเสียและลดการใช้พลังงาน วัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติ เราได้สร้างประสิทธิภาพและลดต้นทุน ขณะเดียวกันก็เผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้อยลงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงระบบนิเวศมีส่วนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้มากกว่า 600 ล้านยูโรตั้งแต่ปี 2008  

    
                                                  diffrent currency

                               มีความเสี่ยงน้อยลง


การดำเนินงานอย่างยั่งยืนช่วยให้เรามีความมั่นใจเกี่ยวกับซัพพลายเชนในอนาคต โดยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดหาวัตถุดิบ56% ของวัตถุดิบทางการเกษตรของเรามีแหล่งที่มาที่ยั่งยืนภายในสิ้นปี 2018

         
                                                       Farmer with spade

                            สร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น

การกำหนดให้ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ช่วยให้เราอยู่ข้างเดียวกับผู้บริโภค และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกับเราเราเป็นบริษัทผู้ว่าจ้างผู้จบการศึกษา FMCG จำนวนเป็นอันดับหนึ่งในประมาณ 50 ประเทศ
                                                         Shaking hands

            ผลลัพท์ที่ชัดเจนจากการเรียนรู้ผ่านบทเรียน



เราได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจากแผนการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืน เรารู้ว่ามีส่วนช่วยเหลือให้ธุรกิจเติบโตเนื่องจากเราเห็นผู้บริโภคจงใจเลือกใช้แบรนด์ของเรา ช่น Dove, Hellmann's, Ben & Jerry's และ Omo
เรายังได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ใช้การได้และไม่ได้ และเราจะปรับเปลี่ยนต่อไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือความสามารถในการโน้มน้าวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายนอกบริษัท ซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง
เรามองหาแนวคิดและวิธีการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องที่จะสามารถวางแนวทางห่วงโซ่คุณค่าในวงกว้าง เราทราบว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายมากมายด้านความยั่งยืน และเราจะมุ่งเน้นเรื่องนี้มากขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า
ในฐานะบริษัทเรามองไกลไปถึงอนาคต เปลี่ยนแปลง และปรับทิศทางเพื่อให้ก้าวล้ำไปหนึ่งก้าว
นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เราอยากจะเห็น

                              Free to be myself

ที่มาของเเหล่งข้อมูล   
https://www.unilever.co.th/sustainable-living/

            บริษัทในไทยที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุด     บริษัท         Facebook : เฟซบุ๊ก


สวัสดีครับนำทุกท่านมารู้จักบริษัทที่คนชอบมากที่นั่นเป็นบริษัทที่มีรายได้สูง      เหมาะสำหรับคนที่ิ

มองหาบริษัทที่ดีเเละมีคุณภาพ  สำหรับใครที่ไม่รู้จับเราจะพาทุกคนไปรู้จักกับบริษัททั้ง   50 บริษัท


ที่มาตรฐานเเละคุณคุณภาพ





                                             



บริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเอกลักษณ์ ดำเนินการเว็บไซต์เครือข่ายสังคม ที่มีสมาชิกใช้งานเป็นอันดับต้นๆของโลก ผู้ใช้งานคนไทยมากกว่า 41 ล้านคน โตขึ้น 17% คิดเป็น 60% ของประชากรไทย ส่วน Facebook Page ไทย มีมากถึง 7 แสนเพจ เนื่องจากการที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนใช้งานได้ง่าย ทั้งยังสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกรวดเร็ว
Facebook ให้ผลตอบแทนมากมายกับพนักงาน อาทิ พื้นที่พักผ่อนในออฟฟิศ ทีมเวิร์กที่ดี บริษัทนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้น จึงนำมาซึ่งความเครียดและการแข่งขันในที่ทำงานอย่างง่ายดาย จึงพยายามจัดสรรสถานที่ให้เหมาะสม มีพื้นที่สำหรับพักผ่อน และที่ทำงานแบบเปิดให้พนักงานเกิดความผ่อนคลายในการทำงานมากที่สุด
                                                         ประวัติเฟสบุ๊ก  
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์ facebook ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network ที่ตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดเท่านั้น และเว็บนี้ก็ดังขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะแค่เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ ครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็สมัครเป็นสมาชิก facebook เพื่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตั้นก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งาน facebook บ้างเหมือนกัน มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อนของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ Hughes เพื่อช่วยกันสร้าง facebook และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น facebook จึงได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง
ไอเดียเริ่มแรกในการตั้งชื่อ facebook นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่ง face book นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จนเมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและนำมันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
เมื่อประสบความสำเร็จขนาดนี้ ทั้งมาร์ค ดัสติน และ ฮิวจ์ ได้ย้ายออกไปที่ Palo Alto ในช่วงฤดูร้อนและไปขอแบ่งเช่าอพาร์ทเมนท์ แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ มาร์คได้เข้าไปคุยกับ ชอน ปาร์คเกอร์ (Sean Parker) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster จากนั้นไม่นาน ปาร์คเกอร์ก็ย้ายเข้ามาร่วมทำงานกับมาร์คในอพาร์ตเมนท์ โดยปาร์คเกอร์ได้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับนักลงทุนรายแรก ซึ่งก็คือ ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Paypal และผู้บริหารของ The Founders Fund โดยปีเตอร์ได้ลงทุนใน facebook เป็นจำนวนเงิน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ
ด้วยจำนวนสมาชิกหลายล้านคน ทำให้บริษัทหลายแห่งสนใจในตัว facebook โดย friendster พยายามที่จะขอซื้อ facebook เป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในกลางปีพ.ศ. 2548 แต่ facebook ปฎิเสธข้อเสนอไป และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจาก Accel Partners เป็นจำนวนอีก 12.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในตอนนั้น facebook มีมูลค่าจากการประเมินอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
facebook ยังเติบโตต่อไป จนถึงเดือนกันยายนปีพ.ศ. 2549 ก็ได้เปิดในโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย เข้าร่วมใช้งานได้ และในเดือนถัดมา facebook ได้เพิ่มฟังค์ชั่นใหม่ โดยสามารถให้สมาชิก เอารูปภาพมาแบ่งปันกันได้ ซึ่งฟังชั่นนี้ได้ัรับความนิยมอย่างล้นหลาม ในฤถูใบไม้ผลิ facebook ได้รับเงินจากการลงทุนเพิ่มอีกของ Greylock Partners, Meritech Capitalพร้อมกับนักลงทุนชุดแรกคือ Accel Partners และ ปีเตอร์ ธีล เป็นจำนวนเงินถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่าการประเมินมูลค่าในตอนนั้นเป็น 525 ล้านเหรียญ หลังจากนั้น facebook ได้เปิดให้องค์กรธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใช้งาน facebook และสร้าง network ต่าง ๆ ได้ ซึ่งในที่สุดก็องค์กรธุรกิจกว่า 20,000 แห่งได้เข้ามาใช้งาน และสุดท้ายในปีพ.ศ. 2550 facebook ก็ได้เปิดให้ทุกคนที่มีอีเมล์ ได้เข้าใช้งาน ซึ่งเป็นยุคที่คนทั่วไป ไม่ว่าเป็นใครก็สามารถเข้าไปใช้งาน facebook ได้เพียงแค่คุณมีอีเมล์เท่านั้น
ในช่วงฤดูร้อนปี 2550 ครั้งนั้น Yahoo พยายามที่จะขอซื้อ facebook ด้วยวงเงินจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่ามาร์คได้ทำการตกลงกันด้วยวาจาไปแล้วด้วยว่า จะยอมขาย facebook ให้กับ Yahoo และเพียงแค่สองสามวันถัดมา หุ้นของ Yahoo ก็ได้พุ่งขึ้นสูงเลยทีเดียว แต่ว่าข้อเสนอซื้อได้ถูกต่อรองเหลือเพียงแค่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มาร์คปฎิเสธข้อเสนอนั้นทันที ภายหลังต่อมา ทาง Yahoo ได้ลองเสนอขึ้นไปที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกครั้ง คราวนี้มาร์คปฎิเสธ Yahoo ทันที และได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีว่า ทำธุรกิจเป็นเด็กฯ ไปในทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาร์คปฎิเสธขอเสนอซื้อบริษัท เพราะเคยมีบริษัท Viacom ได้เคยลองเสนอซื้อ facebook ด้วยวงเงิน 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถูกปฎิเสธไปแล้วในเดือนมีนาคมปี 2550
มีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ค่อยดีสำหรับ facebook ที่ได้มีการโต้เถียงกันอย่างหนัก กับ Social Network ที่ชื่อ ConnectU โดยผู้ก่อตั้ง ConnectU ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่ฮาเวิร์ด ได้กล่าวหาว่ามาร์คได้ขโมยตัว source code สำหรับ facebook ไปจากตน โดยกรณีนี้ได้มีเรื่องมีราวไปถึงชั้นศาล และตอนนี้ได้แก้ไขข้อพิพาทกันไปเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าจะ่มีข้อพิพาทอย่างนี้เกิดขึ้น การเติบโตของ facebook ก็ยังขับเคลื่อนต่อไป ในฤดูใบไม่ร่วงปี 2551 facebook มีสมาชิกที่มาสมัครใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่วันละ 200,000 คน ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ facebook มีสมาชิกมากถึง 50 ล้านคน โดย facebook มียอดผู้เข้าชมเฉลี่ยอยู่ที่ 40,000 ล้านเพจวิวต่อเดือน จากวันแรกที่ facebook เป็น social network ของนักศึกษามหาวิทยาลัย จนวันนี้ สมาชิกของ facebook 11% มีอายุมากกว่า 35 ปี และสมาชิกที่มีอายุมากกว่า 30 ปีก็เข้ามาสมัครใช้ facebook กันเยอะมาก นอกเหนือจากนี้ facebook ยังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดย 15% ของสมาชิก เป็นคนที่อยู่ในประเทศแคนาดา ซึ่งมีรายงานออกมาด้วยว่า ค่าเฉลี่ยของสมาชิกที่มาใช้งาน facebook นั้ินอยู่ที่ 19 นาทีต่อวันต่อคน โดย facebook ถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสหรัฐอเมริกาและเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้อัพโหลดรูปภาพสูงที่สุดด้วยจำนวน 4 หมื่นหนึ่งพันล้านรูป
                                                        

ผู้สร้าง facebook
รวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่มโดยไม่โกงใคร  แต่ยังเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ  และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันในทุกวันนี้
    ความเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ทั่วไป  ปรากฏให้เห็นตั้งแต่วัยหนุ่ม ด้วยอายุเพียง  ๒๐ ปี  เท่านั้น  
    เขาสร้างเนื้อสร้างตัวรวยเร็วที่สุด  เท่าที่นิตยสาร  Forbes เคยทำการสำรวจมาในหมู่ผู้ที่สร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง  !!  ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า  ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท  ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก  ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้งของตนเอง  โดยใช้เวลาเพียงแค่  ๖ ปี เท่านั้นเอง !!    หนุ่มผู้ที่กล่าวถึงนี้  คือ   มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก !!    ผู้สร้าง   Facebook.com  ให้โลกได้รู้จัก  และเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้กันมากที่สุดในโลกขณะนี้

 มารู้จักกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก  สักเล็กน้อย
มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก  CEO ของ  Facebook.com

    มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก  (Mark Elliot Zuckerberg)  มีเชื้อสาย ยิว – อเมริกัน  เกิดเมื่อวันที่ ๑๔  พฤษภาคม  ๒๕๒๗  (ปัจจุบันอายุ ๒๖ ปี)  (คนเก่งระดับโลก เช่น ไอน์สไตน์, ฟอน บราวน์ เป็นต้น มักมีเชื้อสายยิว – ผู้เขียน) 
    เติบโตในย่าน  Dobbs Ferry  นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลายที่ Phillips Exeter Academy ในปี  ๒๕๔๕
    สมัยเรียนไฮสกูล  ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ชั้น  ป. ๖  เขากับเพื่อนสร้าง  โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้  Winamp  และ  MP3  และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต(คนเก่ง ๆ มักเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก  ตรงกันข้ามกับเด็กไทยบางคน สนใจแต่เล่นเกมส์ และมีแนวโน้มจะมากขึ้น – ผู้เขียน)
    ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไปกลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙  ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ 
    โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

ที่มาของข้อมูล   http://www.parwat.com/569

                         บริษัทที่คนหยากเข้าทำงานมากที่สุดในไทย  บริษัท       RS : อาร์เอส สวัสดีครับนำทุกท่าน เข้าสู้บริษัทที่ทุกคนชอบมา...